Thursday, March 10, 2011

Lady Gaga "Born This Way" ตีแผ่ความหมายของเพลงแบบลึกซึ้ง(เกิน?) Part 2 (ภาคจบ)



ไหนว่าจะกลับมาต่อวันพรุ่งนี้ไงยะ แหม ล่อไปซะเป็นอาทิตย์ เฮ้อ ต้องขออภัยจริงๆค่ะ พอดีว่าโชคไม่ดีไปติดหวัดมาจากงาน party แถมโรคกระเพาะมาเยือนอีก ไลฟ์สไตล์ของเซเลบอย่างเรากินนอนไม่ค่อยจะเป็นเวลาซะด้วย แย่จัง

มาถึงตอนนี้หลังจากที่ถูกทิ้งไว้ให้งงงวยและงงงันตามยถากรรมถึง 5 วันเต็มๆ คงจะเห็นภาพกันแล้วใช่มั๊ยเอ่ยว่าไอ้ boudoir เนี่ยมันช่วยสร้างโทนแล้วก็ฉากให้กับเพลงนี้ยังไง และมันสามารถบอกอะไรเกี่ยวกับเทือกเถาเหล่ากอของคุณหญิง Gaga (ในเพลง) ได้บ้าง ถ้าหม่อมแม่เธอมี boudoir ส่วนตัวล่ะก็แสดงว่าครอบครัวนี้ต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน(โฮะ โฮะ ก็ดูลูกสาวสิคะ จะธรรมดาได้ไง) แต่จะอลังการถึงขั้นไหนนั้นก็แล้วแต่จินตนาการของคนฟัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหม่อมแม่ถึงแม้มือนึงจะม้วนผมแต่งหน้าทาปากสอนลูกสาวให้ใส่ถุงน่องเหลือใช้แทนกางเกงพร้อมกับย้าย hair ข้างล่างมาไว้ข้างบนศีรษะ (คลิกที่ลิงค์เพื่อดูภาพ)อีกมือนึงชีก็สามารถสวดมนต์อาเมนสรรเสริญพระเจ้าไปพร้อมๆกันได้"Cause he made you perfect, babe" ในสายตาของแม่ทุกคนลูกชั้นเริ่ดเสมอ

เริ่ด???

แต่ก็นั่นแหละ บ่อยครั้งที่ศาสนาอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวหรือแม้แต่ความรักอันยิ่งใหญ่ของบุพการีก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ จากเด็กสาวบริสุทธิ์ตัวน้อยกลายเป็นหญิงสาวไม่ค่อยจะบริสุทธิ์ที่ตีความหมายคำที่หม่อมแม่สอนได้อย่างมั่วซั่วมาก ถึงแม้ความหมายโดยรวมของเพลงก็คือเราทุกคนต้องรักตัวเองไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร อย่าได้แคร์! ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำเย็นที่สาดลงมาปลุกจิตสำนึกของมนุษย์ในสังคมที่"แคบ"และ"ตื้น"ให้ตื่นขึ้น(นิดนึง)ได้ดีมากๆ โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ทุกวันนี้หญิงสาวตะเกียกตะกายลดน้ำหนักให้ผอมซูบ อัพวิตามินซีฉีดกลูต้าให้ขาวใสแบบไม่เกรงใจบรรพบุรุษ แต่ถ้าดูเนื้อเพลงแล้วจะเห็นได้ชัดเลยว่าชีตีความหมายของคุณแม่ผิดและเลยเถิดอย่างไม่น่าให้อภัย อาจจะด้วยความพยายามอย่างถึงขีดสุดที่จะทำให้เพลงนี้กลายเป็น "Gay Anthem" จนลืมไปว่าจริงๆแล้ว God ในศาสนาคริสต์ไม่ได้ส่งเสริมการข้ามเพศหรือรักร่วมเพศแต่อย่างใด  อีกอย่างหม่อมแม่ก็ไม่ได้พูดถึงอะไรแบบนั้นเล๊ยให้ตายเถอะ เพราะฉะนั้นที่ชีบอกว่า "Cause God makes no mistakes" เนี่ย มันไม่ใช่นะจ๊ะ Gaga (ทำเสียงอ่อนโยนประหนึ่งเจ้าหญิง) เล่นใส่เนื้อเพลงขัดกันเองแบบนี้เพลงเธอมันก็เลยฟังพิลึกเหมือนกับตัวเธอยังไงยังงั้น โฮะ โฮะ โฮะ (กลายเป็นแม่มดเหมือนเดิม)

อีกคำนึงในเพลงที่พอได้ยินหรือเห็นแล้วพวกเราอาจจะแบบ "เอ๊ะ What does that mean???" ก็คือคำว่า chola สำหรับคนที่ฟังเพลงฝั่งอเมริกาเป็นประจำโดยเฉพาะแนวฮิพฮอพน่าจะเคยได้ยินเพลง Lean Like a Cholo มาบ้าง 


ในอเมริกา cholo จะหมายถึงผู้ชายอเมริกันเชื่อสาย Mexican ที่จะออกแนว gangster ขับรถโหลดสุดๆ(low-riders) การแต่งตัวก็จะคล้ายๆ hip-hop แต่จะแอบมีกลิ่นอายพื้นบ้านเช่นเวลาหน้าร้อน พี่ก็จะใส่เสื้อกล้าม(ก็แหม แถวนี้มันฮ้อนหลาย)ใส่ขาสั้นคลุมเข่าแต่ในขณะเดียวกันก็ดึงถุงเท้าสูงขึ้นมาถึงเข่า (อายขนหน้าแข้ง?) คือเป็นอะไรที่ขัดกันสิ้นดีในแง่แฟชั่นแต่สำหรับพวกพี่เค้าแล้วนี่คือถือว่าสุดยอด ส่วน chola (กลับมาเข้าเรื่องได้ซะทีนะ) ก็เหมือนกันกับ cholo เพียงแต่เป็นผู้หญิงเท่านั้นเอง ถ้าจะยกตัวอย่าง celebrity ที่มีสไตล์การแต่งตัวแต่งหน้าแบบ cholo ที่พวกเราน่าจะคุ้นเคยกันก็คงจะหนีไม่พ้น Gwen Stefani ชะนีหลังกลวงน่ะเอง แต่ชีไม่ยอมรับ "I ain't no hollaback girl!" เพราะว่าจั๊กกะแร้ชีขาวและเนียน (เกี่ยวไรวะ เอ๊ย คะ?)




อีกประโยคนึงที่มีน้องๆถามมา "พี่คนสวยคะ (กรี๊ดดดดดด เด็กตาถึงมากกกอ่ะ) แบบว่า Subway Kid นี่เค้าเป็นเด็กไม่มีบ้านใช่ป่ะคะ แล้วความจิงคือเค้าสระผมด้วยรีจ๊อยซ์หลอคะ (subway kid, rejoice your truth) หนูแปลถูกใช่ป่ะคะพี่
เอ่ออ...(ช๊อคไปซักพัก แต่ก็แอบตื้นตันในความพยายาม)เค้าก็เป็นวัยรุ่นมีผู้ปกครองเหมือนพวกหนุนี่ล่ะค่ะแล้วก็ไม่ได้นอนตามสถานีรถไฟใต้ดินแต่อย่างใด subway=underground=ใต้ดิน=นอกกระแส เพราะฉนั้น subway kid ก็คือวัยรุ่นมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก มีความคิดไม่ตามกระแสหลัก(mainstream)อ่ะจ้ะ ส่ว...  
"ว๊าย เหมือนพวกหนูเลยอ่าค่ะ พวกหนูก้อไม่ชอบเลยอ่าค่ะอะไรที่แบบว่าตามกระแสเนี่ย อย่างเค้าฮิตฉีดกลูต้ากัน พวกหนูก็ไม่เอาอ่าค่ะ แบบว่ารับไม่ได้มากเลยอ่าคะ พวกหนูชอบซื้อไฮเตอร์มาแบ่งกันไว้อาบน้ำมากกว่าค่ะ ขาวอมแดงเลยค่ะ เมพสุดๆ อย่างขับรถไปเล่นบีบีไปเงี้ยก็ไม่เอาเลยอ่าค่ะ หยาบมาก อย่างพวกหนูก้อต้องขับรถปิดตามองด้วยสมองส่วนกลางไป แชทบีบีไป เล่นไอโฟนไป บางทีก้อมีหมุนฮูลาฮูปบ้าง หันไปติดขนตาปลอมให้เพื่อนที่นั่งข้างหลังบ้าง เท่านั้นจิงๆค่ะ"
(พยายามเก็บอาการ) เอ่ออ...ค่ะ...ส่วน rejoice นี่ไม่ได้หมายถึงแชมพูค่ะ เค้าหมายถึงให้ภูมิใจ ดีใจกับความจริง นั่นก็คือตัวตนที่แท้จริงของพวกเค้าค่ะ พี่ขอตัวก่อนนะคะพอดีปวดฉ...(รีบวิ่งแบบไม่คิดชีวิต) 

เอาล่ะค่ะ พอแล้วดีกว่า ขอตัวไปพักผ่อนรักษาโรค(จิต)ก่อน ก็หวังว่าคงพอจะได้อะไรเล็กๆน้อยกลับไปบ้าง ถ้าไม่ได้ก็ถือซะว่าเป็นกรรมเก่าละกันที่ต้องเอาดวงตามาผ่านอะไรไร้สาระแบบนี้ ส่วนคราวหน้า หลังจากที่ห่างไกลจากการสอนภาษาอังกฤษจริงๆจังมานานมากกกกก ก็ได้ฤกษ์ซะที แต่จะเป็นอะไรนั้นต้องติดตามค่ะ



SEE YOU NEXT TIME! 

No comments:

Post a Comment